เริ่มแล้วนโยบาย “The America First trade Policy” ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ดีเดย์มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมาเรียกเก็บภาษีนำเข้า (Import Tax) เฟสแรกร้อยละ 10 กับทุกประเทศที่นำเข้าสินค้าเข้าสหรัฐฯ สำหรับสินค้าซึ่งขนลงเรือหรือยานพาหนะเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนวันดังกล่าวจะไม่ถูกเก็บภาษีก่อนเวลา 00.01 ของวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 การเรียกเก็บภาษีจากอัตราภาษีเดิม (MFN apply rate) รวมทั้งอากรค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่แต่ละประเทศถูกจัดเก็บอยู่เดิม

สำหรับเฟสสอง เริ่ม 9 เมษายน 2568 โดยจะเก็บกับประเทศต่าง ๆ ที่ได้เปรียบดุลการค้าอัตราแตกต่างกันไป ไทยติดโผประเทศถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) อัตราที่เรียกเก็บร้อยละ 36 (บ้างว่าอัตราร้อยละ 37) เป็นอัตราที่สูงเกินความคาดหมาย โดยเงื่อนไขจะเหมือนกับเฟสแรกคือหากอยู่ระหว่างการขนส่งก่อนวันประกาศจะยังได้รับยกเว้นไม่ถูกเก็บอัตราภาษีใหม่ ทั้งนี้อัตราภาษีต่างตอบแทนที่เรียกเก็บจะไม่ใช้กับสินค้าที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านั้นคือสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมถูกเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 25 สินค้ารถยนต์และชิ้นส่วนอัตราภาษีเฉพาะร้อยละ 25 นอกจากนี้จะไม่ใช้กับสินค้าบางประเภท เช่น ยา-เวชภัณฑ์ เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ธาตุบางประเภท พลังงานและผลิตภัณฑ์พลังงานซึ่งจะออกประกาศอัตราภาษีภายหลังคาดว่าจะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 25
ในอาเซียนกัมพูชาถูกเรียกเก็บอัตราสูงสุดอัตราร้อยละ 49 ตามด้วยสปป.ลาวร้อยละ 48 เวียดนามร้อยละ 46 เมียนมาร้อยละ 45 และอินโดนีเซียร้อยละ 32 ขณะที่จีนถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ทั้งหมดร้อยละ 54 ก่อนหน้านั้น (4 ม.ค. 68) ถูกเรียกเก็บร้อยละ 20 ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าสหรัฐอเมริกาเป็นลูกค้าส่งออกของไทยเป็นอันดับหนึ่งสัดส่วนร้อยละ 18.20 ปีที่ผ่านมา อัตราการขยายตัวร้อยละ 13.66 และช่วงสองเดือนของปีนี้อัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.27 ทิ้งห่างประเทศจีนคู่ค้าอันดับสองสัดส่วนร้อยละ 11.83 ตามด้วยญี่ปุ่นสัดส่วนร้อยละ 7.81 มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ปีพ.ศ. 2567 มูลค่า 54,956.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากเป็นเงินบาทใช้อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันมูลค่า 1.892 ล้านล้านบาท ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไทยได้เปรียบดุลการค้าสูงขึ้นทุกปีเปรียบเทียบปีพ.ศ. 2557 มูลค่าการส่งออก 23,890.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้เปรียบดุลการค้า 9,311.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับ 1.64 เท่า และปีพ.ศ. 2567 ไทยได้เปรียบดุลการค้า 35,649.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับ 2.85 เท่า
ปี พ.ศ.2568 ช่วงสองเดือนแรกไทยได้เปรียบดุลการค้า 6,169.09 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับ 2.80 เท่า จึงไม่แปลกว่าไทยติดลิสต์ในลำดับต้นๆ อีกทั้งสหรัฐฯ มองว่าไทยเอียงไปทางจีนและมีทุนจีนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตไปสหรัฐฯ ถูกพิจารณาว่าเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ การพิจารณาว่าจะเรียกเก็บภาษีประเทศใดอัตราเท่าใดทางหน่วยงาน “USTR” หรือสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา เป็นผู้พิจารณาโดยใช้ปี ค.ศ. 2024 เป็นปีฐาน สูตรในการคำนวณคร่าว ๆ เพราะในการคำนวณจริงมีความซับซ้อน

อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ = มูลค่าการส่งออก (X) – มูลค่าการนำเข้า (M)
มูลค่าการนำเข้าทั้งหมด

การปรับภาษีศุลกากรตอบโต้การนำเข้าของสหรัฐฯ จากค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5 กลายเป็นร้อยละ 36 – 37 และกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกโดนแบบถ้วนหน้าร้อยละ 10 ถึง 49 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง นัยของปธน.ทรัมป์เพื่อปลดแอกเปลี่ยนระบบการค้าโลกโดยปฏิเสธการค้าเสรีและ WTO สู่ยุคที่ไม่มีกฎเกณฑ์กติกาการค้า สหรัฐฯ ใช้อำนาจแบบมัดมือชกภายใต้เงื่อนไขและผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก (The America First Trade Policy) ทำให้ประเทศที่เล็กหรือกำลังพัฒนาไม่มีอำนาจต่อรองเป็นสงครามการค้านำไปสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดของโลกนับแต่ปีค.ศ. 1930 สามารถแบ่งผลกระทบที่มีต่อประเทศไทยได้ 2 แบบ
ผลกระทบทางตรง สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งปีที่แล้วมูลค่า 1.892 ล้านล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 9.88 ของ GDP เกี่ยวข้องกับสินค้าอุตสาหกรรมตั้งแต่กลางน้ำไปจนถึงปลายน้ำตลอดจนโซ่อุปทานทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการ นอกจากนี้เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรแปรรูปปีละ 118,404 ล้านบาท และสินค้าเกษตรกรรมประมาณ 68,800 ล้านบาท ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิรายใหญ่สุดของประเทศ สำหรับความเสียหายหรือผลกระทบจะเป็นเท่าใดในขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินเนื่องจากคงต้องรอผลการเจรจา อีกทั้ง ปธน.ทรัมป์ รู้ถึงผลกระทบที่จะมีผลต่อประเทศเขาดี ผลกระทบที่ชัดเจนช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้นำเข้าสหรัฐฯ หลายรายมีการยกเลิกออเดอร์หรือคำสั่งซื้อ บางรายซื้อขายแบบไม่มี L/C มีการลากตู้เข้าไปในท่าเรือแหลมฉบัง แต่ถูกยกเลิกการขึ้นเรือต้องนำสินค้ากลับเข้าโรงงาน
ฉากทัศน์ที่จะเห็นจากนี้ไป คือออเดอร์ส่งออกไปสหรัฐฯ และประเทศจีนรวมทั้งหลายประเทศซึ่งเป็นคู่ค้าส่งออกหลักของไทยจะชะลอตัวกระทบต่อสินค้าคงคลังจะสูงขึ้นสวนทางกับสภาพคล่องทางการเงินที่ลดลง ด้านการแข่งขันจากการพูดคุยกับผู้ส่งออกหลายรายกล่าวว่ายังมีความไม่แน่นอนสูง ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าคู่แข่งตลาดส่งออกของไทยเจอภาษีสูงกว่าไทย เช่น เวียดนามภาษีสูงกว่าไทย ร้อยละ 9 ก่อนหน้านั้นได้สิทธิ “ภาษี 0”แต่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยทำให้แต้มต่อพอสู้ได้ สำหรับอินโดนีเซียอัตราต่ำกว่าไทยร้อยละ 5 แต่สินค้าหลายรายการไม่ใช่คู่แข่งหลัก กอปรทั้งค่าระวางเรือสูงกว่าไทย ประเทศกัมพูชาเป็นผู้ส่งออกการ์เมนท์และรองเท้าภาษีสูงกว่าไทยร้อยละ 12 ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมใช้แรงงานเข้มข้นซึ่งผู้ผลิตไทยย้ายฐานการผลิตไปหลายราย ขณะที่แรงงานของไทยต้นทุนสูงและมีไม่พอเพียงทำให้ไม่น่าจะมีผล สำหรับประเทศมาเลเซีย-ฟิลิปปินส์ถูกเรียกเก็บภาษีต่ำกว่าไทยมากแต่ไม่ใช่คู่แข่งหลักการส่งออก คลัสเตอร์ที่มีผลกระทบ 15 อุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกันร้อยละ 70 เช่น คอมพิวเตอร์ผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อัญมณี-เครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ผลิตภัณฑ์พลาสติก อาหารทะเลแปรรูปและอาหารบรรจุกระป๋อง ฯลฯ
ผลกระทบทางอ้อม การขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าแบบล้างแค้นเอาคืนของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ใช้กับทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้า ผลกระทบทางอ้อม เช่น ประเทศจีนถึงจะมีทุน-ธุรกิจสีเทาหรือทุ่มตลาดสินค้าราคาถูก คุณภาพและมาตรฐานไม่ถึงเข้ามาแย่งอาชีพคนไทยไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบประเทศจีนแต่ก็เป็นคู่ค้าส่งออกอันดับที่ 2 การที่จีนถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึงร้อยละ 54 ก่อนหน้านี้ถูกปรับไปก่อนแล้วร้อยละ 20 สูงกว่าทุกประเทศจะทำให้การส่งออกไปจีนจะลดลงทั้งมูลค่าและปริมาณเนื่องจากไทยอยู่ในโซ่อุปทานการผลิตของจีนอีกทั้งความไม่แน่นอนการลงทุนของจีนซึ่งกลายเป็นประเทศลงทุน (FDI) อันดับ 1 ของไทยจะชะงักหรือชะลอการลงทุน
นอกจากนี้การชะลอตัวของสินค้าจีนเข้าไปสหรัฐฯ ทำให้เกิดภาวะโอเวอร์ซับพลายและมีสต็อกสูงจะไหลเข้ามาในไทยหรือสวมสิทธิ์ “Made in Thailand” อย่างไรก็ดีไทยถูกเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงเช่นกัน ที่แน่นอนคือสินค้าจีนและทุนจีนสีเทารายย่อยจะไหลเข้ามาแย่งตลาดและอาชีพคนไทยมากขึ้น ที่กล่าวนี้เป็นผลกระทบเฉพาะตลาดจีนขณะที่ผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกที่ชะลอตัวโดยเฉพาะอาเซียน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปและอีกหลายประเทศซึ่งถูกภาษีทรัมป์จะทำให้ความต้องการสินค้าจากไทยลดลงกระทบเป็นลูกโซ่ จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องมีการศึกษาถึงผลกระทบภาษีตอบโต้ขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพราะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและบริการตลอดจนภาคเกษตรและเกษตรแปรรูปตั้งแต่ต้นน้ำที่เป็นวัตถุดิบไปสู่กลางน้ำที่เป็นสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจนไปถึงปลายน้ำ ภาคส่วนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับแรงงานจำนวนหลายล้านคนมีผลต่อสภาพคล่องของธุรกิจและครัวเรือนจะสูงขึ้น นอกจากนี้กำลังการผลิตอุตสาหกรรม (CPU) ที่ต่ำอยู่แล้วประมาณร้อยละ 59 อาจลดลงทำให้อัตราการว่างงานจะสูงขึ้น ประเด็นเหล่านี้จะต้องมีการศึกษาถึงผลกระทบและมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมารองรับ
ท่าทีของประเทศไทยกับมาตรการรับมือภาษีศุลกากรต่างตอบแทนของสหรัฐอเมริกา

1. แถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี (6เมษายน 2568) เป็นการแสดงท่าทีของรัฐบาลไทยภายใต้นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเห็นถึงความเสียหายและผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทย แต่งตั้ง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกและรมว. กระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าทีมระบุว่าช่วงก่อนสงกรานต์จะนำทีมไปสหรัฐฯ เพื่อเจรจากับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเน้นประเด็น เช่น

1) ไทยไม่ใช่เพียงผู้ส่งออกแต่เป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ มาช้านาน ประเด็นนี้อาจใช้กับปธน.ทรัมป์ไม่สำเร็จเพราะขนาดแคนาดา อังกฤษ อียูและไต้หวัน ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ ก็ถูกเล่นภาษีหนักเช่นกัน

2) มาตรการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น จัดซื้อฝูงอากาศยานโบอิ้งและเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ปศุสัตว์โดยเฉพาะเนื้อหมู ประเด็นคือการนำเข้าขึ้นอยู่กับภาคเอกชนเกี่ยวข้องกับต้นทุนที่แข่งขันได้ ควรมีมาตรการลดภาษีนำเข้าจูงใจให้มีการนำเข้า เช่น ประเทศกัมพูชาเสนอลดอัตรา Import Tax เหลือร้อยละ 5 แต่ที่ต้องระมัดระวังการลดภาษีต้องทำเท่าเทียมกับหลายประเทศ

3) ลดเงื่อนไข-อุปสรรคการนำเข้าตลอดจนการปราบปรามการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดที่เรียกว่า Certificate of Origin (C/O) ตลอดจนสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศที่ใช้ในการส่งออก (Local Content) กรณีนี้ต้องเข้มงวดเพราะสินค้าจีนจะทะลักเข้าไทยเพิ่มมากขึ้นและแปลงสภาพเป็น Made in Thailand เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ

4) ประเด็นเจรจาเกี่ยวข้องกับสินค้าส่งออก 15 คลัสเตอร์ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 70 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดจะเจรจากันอย่างไรเพราะสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) จะไต่สวนแยกเป็นแต่ละผลิตภัณฑ์

5) มาตรการรับมือถึงผลกระทบ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบขึ้นอยู่กับผลการเจรจาซึ่งคิว 50 – 60 ประเทศที่จะเข้ามาคุยกับทีมเจรจาของปธน.ทรัมป์คงยาวมาก แต่การนำสินค้าเข้าสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน จะเสียภาษีจากร้อยละ 5 กลายเป็นร้อยละ 36 – 37 ย่อมมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมตามรายละเอียดที่กล่าวไปเบื้องต้น มีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีพ.ศ. 2568 อาจขยายตัวได้จากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 1.4 มีการประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 8.8 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้คิดแค่มูลค่าสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ยังไม่ได้รวมความเสียหายที่เกิดกับโซ่อุปทานส่งออกที่มีความซับซ้อนหลายมิติทั้งอุตสาหกรรมต้นน้ำและกลางน้ำไปจนถึงภาคเกษตร ภาคบริการ ภาคแรงงาน ภาคครัวเรือน กระทรวงการคลังประเมินว่าจะมีผลทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ GDP เหลือร้อยละ 2 ขณะที่ศูนย์วิจัยเอกชน (5 แห่ง) ค่าเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือร้อยละ 1.45 ตัวเลขนี้ยังไม่ได้รวมตัวเลขจากแผ่นดินไหวและการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศตลอดจนตลาดทุน
ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ด้วยสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนไม่สามารถที่จะสรุปถึงผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลมากน้อยเพียงใด อีกทั้งคงต้องติดตามผลจากทีมเศรษฐกิจไทยที่ไปเจรจาจะสามารถทำให้สหรัฐฯ อ่อนข้อลดภาษี ประเด็นสำคัญการลดภาษีกับประเทศคู่แข่งส่งออกของไทย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย จะเป็นอัตราที่ไทยยังสามารถแข่งขันและรักษาตลาดได้มากน้อยเพียงใด การเจรจาภายใต้ปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ต่ำกว่าเป็นเรื่องที่ยาก ดังที่ปธน.ทรัมป์ระบุว่าให้ยื่นข้อเสนอมาว่าจะมีอะไรไปแลกเปลี่ยนหรือ Trade Off เพราะเป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวภายใต้นโยบาย “America Great Again” คล้ายสมัยของยุคนาซีช่วงก่อนส่งครามโลกครั้งที่ 2 กรณีจีน ปธน.ทรัมป์แบไต๋ว่า ต้องการให้รัฐบาลปักกิ่งไฟเขียวขายแอป “TikTok” ของ ByteDance เพื่อแลกกับการลดภาษีนำเข้า
ประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม คือ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ อาจแพ้ภัยตัวเองเนื่องจากราคาสินค้า ในประเทศเริ่มขยับตัวสูง มีการชะลอการนำเข้าเพื่อดูสถานการณ์ทำให้สินค้าเริ่มขาดแคลนและมีการ กักตุนสินค้าโดยเฉพาะอุปโภคและบริโภคมีราคาปรับตัวสูง อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมประกอบยานยนต์เริ่มทยอยการหยุดการผลิตเพราะต้องประเมินราคาวัตถุดิบและ/หรือชิ้นส่วน ที่ต้องนำเข้า ปัญหาของสหรัฐฯ คือต้นทุนการผลิตในประเทศสูง ขาดแคลนแรงงานทำให้ย้ายฐานการผลิต ไปลงทุนทั่วโลกส่งผลให้ขาดทักษะในการผลิต ขณะที่ทรัมป์ขับไล่แรงงานต่างด้าวจำนวนมากออกนอก ประเทศ อย่างไรเสียเศรษฐกิจของสหรัฐฯ คงต้องพึ่งพาการนำเข้าจุดแข็งของสหรัฐฯ คือภาคบริการที่ ได้เปรียบดุลการค้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปธน.ทรัมป์ยังเผชิญการต่อต้านในประเทศ มีการประท้วงทั่ว ประเทศในกว่า 50 มลรัฐ ตลอดจนสินค้า “USA Brand” เริ่มถูกต่อต้านทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศที่เคย เป็นมิตร คงต้องติดตามว่าสหรัฐฯ จะอ่อนข้อลดอัตราภาษีศุลกากรแบบต่างตอบแทนและอัตราที่ลดไทย ยังสามารถแข่งขันกับประเทศส่งออกอื่น ๆ ได้หรือไม่ตลอดจนประเมินผลกระทบในทุกมิติที่จะมีต่อ ประเทศไทย